วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปลี่ยนยางลองเบ้าโช๊คโดยไม่ต้องถอดคุมล้อ และโช็ค

ผมขออนุญาติลอกบทความของ audi2551 เพราะว่ามีประโยชน์แกคนใช้รถทุกท่าน

วันนี้ผมมานำเสนอวิธีการเปลี่ยนยางเบ้าหัวโช๊คของเจ้า Audi A80 ซึ่งรถรุ่นอื่นๆ ก็ใช้วิธีการคล้ายๆกัน

วิธีการนี้ ไม่ต้องถอดโช๊คลงมาครับ ไม่ต้องถอดคันชักคันส่ง

ง่ายๆ แค่ข้างละ 20-30 นาที ครับ

เครื่องมือที่ต้องมี

1. ประแจเบอร์ 22
2. ที่บีบสปริง (คู่ละ 750 บาท ซื้อได้ืั้ที่วรจักร)
3. ไขควงปากแบน แบบด้านท้ายเป็นเหล็ก (เอาไว้ตอก)
4. แม่แรงยกรถ
5. ยางหัวโช๊ค P/N 8A0 412 323 D ราคาอันละ 580 บาท
6. ค้อนเล็กๆ

ทำตามนี้เลยครับ (ทำแล้วไม่จำเป็นต้องตั้งศูนย์ใหม่)







วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธีทดสอบ FPR (Fuel Pressure Regulator) เบื้องต้น

ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ Start รถติดยาก เพราะแรงดันน้ำมันตกไป เนื่องจาก

1. Fuel Pump ใกล้เสีย ซึ่งราคาของ Fuel Pump (หรือที่เรียกว่า ปั๊มติ๊ก)

2. FPR (Fuel Pressure Regualtor) เริ่มแสดงอาการไม่ดี

การตรวจสอบเบื้องต้น

- ดึงสาย แวคคั่ม ที่ต่อมาจาก FPR ไปยัง ท่ออากาศก่อนเข้าไอดี

- บิด Switch กุญแจไปที่ ON แต่ไม่ต้อง Start เครื่องเพื่อให้ปั๊มติกทำงานป้อนน้ำมันไหลเข้าสู่ระบบ

- ถ้ามีน้ำมันไหล หรือซึม ออกจาก FPR แสดงว่า FPR หมดสภาพการใช้งานแล้วครับ

Ignition Coil Tester by Audi Web

รายการอุปกรณ์

ท่อ PVC 3/8 ยาวเท่าปลายเกลียวหัวเทียน.....ฟรี
ท่อ PVC 1/2 ยาวเท่าที่เห็นในรูป....ฟรี
ฝาปิดท่อ PVC 1/2.......อันละ 5 บาท
น็อตเกลียวปล่อยยาว 3 นิ้ว.....ซื้อน้อยโดนอันละ 2.50 บาท
ปากคีบ......2 อันรวม 15 บาท
สายไฟ 3 mm......ฟรี
หัวเทียนของเก่าใช้แล้ว



Concept.

การเทสก็ให้หมุนสกรูห่างออกมา 1 เซ็นต์...แล้วเทสดูว่าไฟวิ่งสะดวกดีหรือไม่ แล้วผมก็คลายออกมาห่าง 2 เซ็นต์...เสียงไฟกระโดดดังแป้บๆๆๆๆ ได้ใจเลย

ยิ่งไฟสามารถวิ่งกระโดดได้ไกล แสดงว่าคอลย์เรายังดีอยู่ จ่ายไฟได้แรงดีๆๆๆ ในรถยนต์ผมห่างประมาณ 5 เซ็นต์ เพราะใช้คอลย์แรงสูงราวๆๆ 60,000 โวล์ท...



วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การตรวจสอบไดชาร์จเบื้องต้น



ขั้นตอนการทดสอบแรงดันไฟฟ้า (V)


- ต่อ Ammeter และ Voltmeter ดังรูปข้างบน
- สตาร์ทเครื่องยนต์และเร่งเครื่องไปที่ 2500 รอบต่อนาที
- ทำการเปิด-ปิดไฟหน้ารถยนต์ ทำการอ่านค่า Volt ควรจะได้ 13.8 ถึง 14.5 V
- ถ้าได้ต่ำกว่า 13.8 ถึง 14.5 V สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีไฟรั่วลงกราวด์

ขั้นตอนการทดสอบกระแสไฟฟ้า (A)

- อ่าน Spec. ของ Alternator เช่น 14V 17/85A หมายความว่า ที่รอบเครื่องยนต์ 2500 รอบต่อนาที กระแสควรจะได้ 85 A
- ต่อ Ammeter และ Voltmeter ดังรูปข้างบน
- สตาร์ทเครื่องยนต์และเร่งเครื่องไปที่ 2500 รอบต่อนาที
- ทำการเปิด-ปิดไฟหน้ารถยนต์ ทำการอ่านค่า A ควรจะได้ใกล้เคียงกับค่าที่อ่านได้จาก Spec. ของ Alternator

การทดสอบเกียร์ออโต้เบื้องต้นสำหรับรถมือสอง

ขั้นตอนการทดสอบเบื้องต้น

- ตรวจสอบน้ำหม้อน้ำต้องอยู่ในระดับปกติระหว่าง MAX-MIN
- ตรวจสอบการทำงานของพัดลมระบายความร้อนว่าทำงานปกติหรือไม่ โดยการลองเปิดแอร์ดูว่าพัดลมหน้าเครื่องทำงานหรือไม่
- เข้าเกียร์ N
- สตาร์ทเครื่องยนต์และรอจนกว่าจะได้อุณหภูมิเครื่องประมาณ 80-90 องศา โดยไม่ต้องเปิดแอร์ (พอเครื่องร้อนพัดลมหน้าเครื่องจะทำงานอัตโนมัติ)
- เข้าเกียร์ P
- ตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์ควรจะอยู่ระหว่าง MAX-MIN ถ้าต่ำกว่า MIN ให้เติมเพิ่ม แต่ถ้ามากกว่า MAX ไม่เป็นไรครับ
- เหยียบเบรคไว้ระหว่างทดสอบ
- เข้าเกียร์มาที่ R, D, 3, 2, 1 ในแต่ละเกียร์ ควรจะรู้สึกได้ถึงการเข้าของเกียร์ภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ทดลองขับโดยเข้าเกียร์ D การออกตัวควรจะออกตัวแบบทันทีภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ทดลองขับโดยเข้าเกียร์ R การออกตัวควรจะออกตัวแบบทันทีภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ทดลองขับโดยเข้าเกียร์ 3 การออกตัวควรจะออกตัวแบบทันทีภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ทดลองขับโดยเข้าเกียร์ 2 การออกตัวควรจะออกตัวแบบทันทีภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ทดลองขับโดยเข้าเกียร์ 1 การออกตัวควรจะออกตัวแบบทันทีภายใน 1 วินาที ถ้านานกว่านี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ
- ในระหว่างทดลองขับการเปลี่ยนเกียร์แต่ละจังหวะ ไม่ควรกระตุกมากจนรู้สึกว่ากระชาก ถ้ามีอาการนี้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ

อาการผิดปกติเบื้องต้นของเกียร์อาจจะมาจากหลายสาเหตุเช่น

- น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ
- มีสิ่งสกปรกในระบบน้ำมันเกียร์ ทำให้การเปิด-ปิดของ Solenoid Valve ไม่สะดวกเท่าที่ควร
- ระบบไฟฟ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นเช่น สายไฟหลวม ขาด เป็นต้น
- แผ่นคลัทช์ใกล้หมด ทำให้ต้องเหยีบคันเร่งมาก รถถึงจะออกตัว
- มีความผิดปกติในระบบเกียร์ในส่วนของเฟืองขับต่างๆ
- Valve Body ทำงานผิดปกติ
- TPS ทำงานผิดปกติ

ซึ่ง อาการต่างๆเหล่านี้จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยช่างผู้ชำนาญ และส่วนใหญ่จำเป็นที่จะต้อง Overhaul เกียร์ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 12000 - 50000 บาทแล้วแต่อาการ และ รุ่นของเกียร์ หรือใช้เกียร์มือสอง

เมื่อเกิดอาการผิดปกติเหล่านั้นช่างจะทำอย่างไร

- เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์
- ล้าง Valve Body ราคา 1000-1500 บาท แล้วแต่อู่และความชำนาญ
- Overhaul เกียร์

ช่างทำอะไรในการล้าง Valve Body

- ล้างทำความสะอาดช่องทางเดินของน้ำมันเกียร์
- ตรวจสอบอุปกรณ์ภายใน เช่น Seal และ Solenoid Valve ถ้า Solenoid Valve ทำงานผิดปก ของใหม่ราคาประมาณตัวละพันกว่าบาท
- ตรวจสอบสายแพร ว่าขาด ลัดวงจรหรือไม่
- เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ หรือ อาจะเปลี่ยน Seal อ่างน้ำมันเกียร์ แต่โดยปกติ ช่างจะใช้ Silicone สีดำๆ ทาให้ ไม่ต้องซื้อ Seal อ่างน้ำมันเกียร์ใหม่

ช่างทำอะไรในการ Overhaul เกียร์
- เปลี่ยนแผ่นคลัทช์
- ผ่า Torque Converter เพื่อเปลี่ยนแผ่นคลัทช์
- เปลี่ยนอุปกรณ์อื่นๆ ที่ชำรุด ตามสภาพการใช้งาน แล้วแต่ว่าตัวไหนเสีย
- เปลี่ยนน้ำมันเกียร์
- เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์
- อื่นๆ

หลังจาก Overhaul เกียร์ แล้วเป็นอย่างไร

- ส่วนใหญ่จะดีขึ้นและสามารถใช้งานไปได้อีก 3-5 ปี
- อาการกระตุกแรงๆ จะลดลง แต่อาจจะไม่หายขาด เนื่องมาจากการ Overhaul เกียร์ ไม่ได้เปลี่ยนอะไหล่ใหม่ทุกชิ้นโดยเฉพาะเฟืองขับต่างๆ
- ปกติหลังจากทำการ Overhaul เกียร์ ช่างจะรับประกันผลงาน 1 ปี แต่ส่วนใหญ่ถ้ารถมีปัญหาหลังการซ่อม ช่างจะบ่ายเบี่ยงที่จะแก้ไขด้วยเหตุผลสารพัดเว้นแต่โชคดีที่เจออู่ดีๆ

ถ้าไม่ Overhaul เกียร์ ได้ไหม

- ใช้เกียร์มือสอง ราคาประมาณ 15000 บาท และส่วนใหญ่จะสภาพค่อนข้างดี สามารถใช้งานได้นานพอสมควร และ ที่สำคัญจะได้มีอะไหล่สำรองไว้ใช้ยามจำเป็นจากเกียร์ลูกเก่า

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก

วีธีตรวจสอบด้วยตัวเอง เบื้องต้น:

1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำในหม้อน้ำหรือไม่?

2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?

3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมาหรือไม่?

-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝาสูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก ให้ช่างตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก

หมายเหตุ

1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่โก่งกันง่ายๆ

2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อรถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเองหรือเติมน้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ

ปล.

1.เรื่อง ความร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดยละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้วจึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสองหรือปาดฝาสูบเดิม